เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม?

หลายคนที่เริ่มต้นขายเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเปิดร้านตามตลาดนัด ร้านค้าเล็ก ๆ หน้าบ้าน หรือขายผ่านออนไลน์ มักจะมีคำถามว่า  “เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม?”  โดยเฉพาะในยุคที่กรมสรรพากรเริ่มจริงจังกับการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการรายย่อยหรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มากขึ้น บทความนี้จะช่วยไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านขายเสื้อผ้า

ลักษณะของธุรกิจขายเสื้อผ้า

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม?

ธุรกิจขายเสื้อผ้าในปัจจุบันสามารถดำเนินกิจการได้หลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การเปิดหน้าร้าน เช่น ขายตามตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า หรือหน้าบ้าน
  • การขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Shopee, Lazada
  • การขายแบบไม่มีหน้าร้าน เช่น ฝากขายตามร้านอื่น หรือรับพรีออเดอร์

ไม่ว่าจะเลือกขายผ่านช่องทางใด หากมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้า จะถือว่าเป็นผู้ประกอบกิจการตามกฎหมาย และมีหน้าที่ในการเสียภาษีให้ถูกต้อง

รายได้จากการขายเสื้อผ้านั้นจัดเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ตามกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งต้องนำมายื่นแบบเสียภาษีเช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ

 

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านขายเสื้อผ้า

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?

1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ขายที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม?

ผู้ประกอบการขายเสื้อผ้าที่ ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็น

  • แม่ค้าตลาดนัด
  • ผู้ขายของผ่าน Facebook / Instagram
  • พ่อค้าแม่ค้าใน Shopee, Lazada
  • หรือแม้แต่การขายผ่านไลฟ์สด / พรีออเดอร์

ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการประกอบกิจการ ซึ่งต้องเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการขายสินค้าอย่างเสื้อผ้า ถือเป็น เงินได้พึงประเมิน ประเภทที่ 8 ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร

 

วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ขั้นตอนที่ 1: รวมรายได้

  • รวมยอดขายเสื้อผ้าทั้งปี (หรือครึ่งปี ถ้ายื่น ภ.ง.ด.94)

ขั้นตอนที่ 2: หักค่าใช้จ่าย

เลือกหักได้ 2 แบบ:

  • แบบเหมา: 60% ของรายได้
  • ตามจริง: หากมีหลักฐาน เช่น ค่าซื้อเสื้อผ้า ค่าขนส่ง ค่าโฆษณา

ขั้นตอนที่ 3: หักค่าลดหย่อน

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท (หรือ 30,000 บาท ถ้ายื่นกลางปี)
  • อื่น ๆ เช่น คู่สมรส บุตร ประกันชีวิต ฯลฯ

 

ขั้นตอนที่ 4: คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ

ใช้ อัตราภาษีก้าวหน้า ดังนี้:

เงินได้สุทธิ (บาท) อัตราภาษี
0 – 150,000 ยกเว้น
150,001 – 300,000 5%
300,001 – 500,000 10%
500,001 – 750,000 15%
750,001 – 1,000,000 20%
1,000,001 – 2,000,000 25%
2,000,001 – 5,000,000 30%
5,000,001 ขึ้นไป 35%

 

ตัวอย่าง 1: ยื่นปลายปี (ภ.ง.ด.90)

พ่อค้าขายเสื้อผ้า รายได้ทั้งปี 1,200,000 บาท

  1. รายได้รวม = 1,200,000 บาท
  2. หักเหมา 60% = 720,000 บาท
  3. เหลือ = 480,000 บาท
  4. หักลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท

เงินได้สุทธิ = 420,000 บาท

คำนวณภาษี:

  • 150,000 แรก = ยกเว้น
  • 150,001–300,000 = 150,000 × 5% = 7,500
  • 300,001–420,000 = 120,000 × 10% = 12,000
    รวมภาษี = 19,500 บาท

ตัวอย่าง 2: ยื่นกลางปี (ภ.ง.ด.94)

แม่ค้าขายของออนไลน์ รายได้ ม.ค.–มิ.ย. = 600,000 บาท

  1. รายได้ครึ่งปี = 600,000 บาท
  2. หักเหมา 60% = 360,000 บาท
  3. เหลือ = 240,000 บาท
  4. หักลดหย่อนส่วนตัว (ครึ่งปี) = 30,000 บาท

เงินได้สุทธิ = 210,000 บาท

คำนวณภาษี:

  • 150,000 แรก = ยกเว้น

  • 150,001–210,000 = 60,000 × 5% = 3,000 บาท
        ภาษีกลางปีที่ต้องชำระ = 3,000 บาท

     

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านขายเสื้อผ้า

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านขายเสื้อผ้า

ผู้ประกอบการร้านขายเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นร้านหน้าร้านหรือร้านค้าออนไลน์ หากมี รายได้จากการขายสินค้าเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีหน้าที่ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย

ใครต้องจด VAT?

  • ร้านขายเสื้อผ้าที่มี รายรับรวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ไม่ใช่กำไร แต่เป็นรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย)
  • ไม่ว่าจะขายผ่านหน้าร้าน Shopee, Lazada, Facebook หรือขายแบบพรีออเดอร์

ตัวอย่างการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับร้านขายเสื้อผ้า

สมมุติ:

  • รายได้จากการขายสินค้าในปี = 1,200,000 บาท (ยังไม่รวม VAT)
  • ค่าใช้จ่ายซื้อสินค้า = 400,000 บาท (ยังไม่รวม VAT)
  • อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม = 7%

วิธีคำนวณ

  1. คำนวณ VAT ที่เรียกเก็บจากลูกค้า (Output VAT)
    1,200,000 × 7% = 84,000 บาท
  2. คำนวณ VAT ที่จ่ายไปกับการซื้อสินค้า (Input VAT)
    400,000 × 7% = 28,000 บาท
  3. คำนวณ VAT ที่ต้องนำส่งกรมสรรพากร
    VAT ที่ต้องจ่าย = Output VAT – Input VAT
    = 84,000 – 28,000 = 56,000 บาท

สรุป: ร้านค้าต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 56,000 บาท ให้กับกรมสรรพากรในปีนั้น

 

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สำหรับร้านขายเสื้อผ้าที่มีการจ้างบุคคลภายนอก เช่น

  • Influencer หรือ KOL มาช่วยรีวิวสินค้า
  • ช่างภาพ ถ่ายภาพสินค้า
  • ฟรีแลนซ์ ทำคอนเทนต์ โฆษณา วิดีโอ

 จะเข้าข่ายต้อง หักภาษี ณ ที่จ่าย ก่อนจ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมดนี้ ร้านค้าต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ก่อนโอนเงินค่าจ้างให้ และนำส่ง เพื่อให้กรมสรรพากรได้รับภาษีล่วงหน้าไว้บางส่วนก่อนที่ผู้รับเงินจะนำรายได้นั้นไปยื่นเสียภาษีประจำปี

อัตราภาษีที่ต้องหัก

ประเภทงาน                                                                                                                อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ค่าจ้างทำของหรือให้บริการ (ทั่วไป เช่น influencer รีวิว, ถ่ายภาพ)                         3%

ตัวอย่าง 

จ้าง Influencer รีวิวเสื้อผ้า ค่าจ้าง 10,000 บาท
หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% = 300 บาท
จ่ายจริงให้ Influencer = 9,700 บาท

 

ต้องนำเงิน 300 บาทนี้ไปยื่นแบบ ภ.ง.ด. 3 (ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

 

 

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องยื่นภาษีตอนไหน?

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องยื่นภาษีตอนไหน?

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)

ผู้ขายเสื้อผ้าหรือผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นประจำทุกปี

แบบฟอร์มที่ต้องยื่นกลางปี: ภ.ง.ด. 94
เป็นการ ประมาณการรายได้ครึ่งปี หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเพียง ครึ่งหนึ่ง ของสิทธิเต็มปี
นำภาษีที่ชำระแล้วไปหักออกจากภาษีปลายปีได้

กำหนดเวลายื่น:  ภายในวันที่ 30 กันยายน ของปีเดียวกัน

แบบฟอร์มที่ต้องยื่น: ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91

(ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้มีรายได้จากหลายแหล่ง และ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้มีรายได้เพียงแหล่งเดียว)

กำหนดเวลายื่น: ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

สำหรับร้านขายเสื้อผ้าที่มีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบแสดงภาษีอย่างสม่ำเสมอ

  • แบบฟอร์มที่ต้องยื่น: ภ.พ.30
  • กำหนดเวลายื่น: ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

กรณีที่ร้านขายเสื้อผ้าจ้างบุคคลภายนอก เช่น Influencer, ช่างภาพ, ฟรีแลนซ์ ฯลฯ เพื่อให้บริการ จะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนจ่ายเงิน

  • แบบฟอร์มที่ต้องยื่น: ภ.ง.ด. 3 (สำหรับบุคคลธรรมดา) หรือ ภ.ง.ด. 53 (สำหรับนิติบุคคล)
  • กำหนดเวลายื่น: ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป หลังจากเดือนที่มีการหักภาษี

สรุปเปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม?

เปิดร้านขายเสื้อผ้าต้องเสียภาษีไหม? คำตอบคือ ต้องเสียครับ ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก ร้านออนไลน์ หรือขายแบบพาร์ทไทม์ หากมีรายได้ประจำจากการขายสินค้า อย่าลืมเตรียมเอกสารทางการเงินและยื่นภาษีให้ครบถ้วนตามกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและปัญหาทางกฎหมาย หากต้องการคำปรึกษาเรื่องภาษีหรือบริการจัดทำบัญชีมืออาชีพ นรินทร์ทอง สำนักงานบัญชีที่เข้าใจธุรกิจทุกรูปแบบ และพร้อมเดินเคียงข้างคุณทุกขั้นตอน ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น

  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ

สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…

Facebook : NarinthongOfficial

E-mail : narinthong.ac@gmail.com

Line : @Narinthong

Tel : 081-627-6872 02-404-2339

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ และคุกกี้ในส่วนการตลาด

    คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน และคุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม

บันทึกการตั้งค่า