การทำธุรกิจขนส่งสินค้าในปัจจุบันกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการหลายท่านหันมาให้ความสนใจกับการทำธุรกิจขนส่ง ซึ่งแน่นอนว่าการทำธุรกิจในลักษณะนี้ ต้องบริหารหลายอย่างทั้งค่าแรงของพนักงาน ค่างวดรถ ค่าน้ำมัน และค่าอื่นๆ อีกมากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ “การเสียภาษี” วันนี้ นรินทร์ทอง ไม่พลาดที่เอาข้อมูลดีๆ มาฝากทุกท่าน เกี่ยวกับ การเสีย ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง เพราะการวางแผนภาษีที่ถูกต้องตั้งแต่แรก จะช่วยให้ธุรกิจขนส่งของคุณ เสียภาษีเท่าที่จำเป็น ถูกกฎหมาย และไม่พลาดโอกาสลดหย่อนในอนาคต
ทำความเข้าใจ ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง ต้องเสียอะไรบ้าง ?
การทำธุรกิจขนส่งเสียภาษีอะไร ? เป็นคำถามที่ผู้เริ่มต้นธุรกิจขนส่งมักสงสัย โดยความหมายของคำว่า “การขนส่ง” คือ การขนคนหรือขนของส่งจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ซึ่งจะต้องประกอบธุรกิจขนส่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% จากผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคล ไม่ว่ากิจการขนส่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม
นอกจากนี้ ธุรกิจขนส่งยังมีภาษีที่เกี่ยวข้องอีกหลายประเด็น ทั้งที่ทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดาและที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดังนั้น จึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่ง ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง ที่เจ้าของกิจการเจอบ่อยที่สุดสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สำหรับ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้า/ให้บริการในประเทศ อัตราปัจจุบัน 7% แต่ในธุรกิจขนส่งเป็นธุรกิจที่ได้รับการยกเว้น VAT และไม่มีสิทธิ์จด VAT แม้ว่าจะต้องการจด VAT ก็ตาม ต่ในบางกรณีถ้าหากมีบริการหรือขายสินค้าร่วมด้วย จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
- ธุรกิจขนส่งปกติ ขนส่งจากจุด A ไปจุด B จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ธุรกิจขนส่งที่มีบริการพ่วงด้วย จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น รถห้องเย็น เพราะรถขนส่งไม่สามารถวิ่งไปเฉยๆ จากจุด A ไปจุด B ได้ ต้องมีการเปิดแอร์ทำความเย็นตลอดการขนส่ง หากมีการแพ็กของ หรือการเช่าพื้นที่ ก็ถือเป็นขนส่งที่พ่วงบริการ
ในกรณีที่มีการขายสินค้าเข้าไปด้วย ในส่วนของขนส่งจะได้รับการยกเว้น VAT แต่ในส่วนของบริการหรือขายสินค้า ถ้ามีรายได้ในส่วนนี้เกิน 1.8 ล้านบาท เจ้าของธุรกิจขนส่งมีหน้าที่ต้องไปขอจดทะเบียน VAT ด้วย และต้องคิด VAT 7% เพิ่มจากค่าบริการ
โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน (ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่), เก็บ VAT จากลูกค้า และนำส่งกรมสรรพากร ทั้งนี้สามารถหัก ภาษีซื้อ (VAT ที่จ่ายตอนซื้อน้ำมัน/ค่าใช้จ่าย) ออกจาก ภาษีขาย ได้
ตัวอย่างการคำนวณ: เช่น ค่าบริการ 100,000 บาท + VAT 7% = 107,000 บาท
ผู้ประกอบการเก็บจากลูกค้า 107,000 บาท จะต้องส่ง VAT ให้สรรพากร 7,000 บาท (แต่หักภาษีซื้อได้ก่อนส่งจริง)
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
“ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” คือ ภาษีที่ลูกค้าหักจากค่าขนส่งก่อนจ่ายเงินให้ ซึ่งธุรกิจขนส่งที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ผู้ว่าจ้างงานหรือกิจการที่เป็นผู้จ่ายเงิน ต้องเป็นคนหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้าง พร้อมออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย แตกต่างกันตามประเภทเงินที่จ่าย ดังนี้
- ค่าขนส่งโดยตรงจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% – หากบริษัทขนส่งมีการจ้างรถมาร่วมวิ่งด้วย บริษัทไม่มีรถขนส่งของตนเอง บริษัทขนส่งผู้ว่าจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้กับรถร่วม ไม่ว่าจะเป็น รถร่วมในนามบุคคลธรรมดา หรือรถร่วมนิติบุคคล
- บริษัทขนส่งมีการจ้างรถมาร่วมวิ่งด้วย หักภาษี ณ ที่จ่าย 5% – เนื่องจากการเช่ารถเพื่อใช้ในกิจการถือเป็นค่าเช่า ให้หักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ให้กับผู้รับจ้าง
- บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หัก 3% – เช่น เหมารถพร้อมพนักงาน รวมถึงบริการเสริมอื่นๆ บริษัทขนส่งจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- ขนส่งปกติจากจุด A ไปจุด B – บริษัทขนส่งจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้ว่าจ้าง 1% ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป
- ธุรกิจที่เป็นเฟรนไชส์ให้กับธุรกิจขนส่ง – เช่น Kerry Express, J&T Express, Flash Express หากขนส่งจากจุด A ไปยังจุด B เฟรนไชส์ผู้รับเงินถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% แต่กรณีที่เป็นการเก็บเงินปลายทาง เฟรนไชส์ผู้รับเงินจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
ตัวอย่างการคำนวณ: เช่น ค่าขนส่ง 100,000 บาท – 1,000 บาท (ลูกค้าหักภาษี 1%) = จ่ายสุทธิ 99,000 บาท ผู้ประกอบการสามารถเอาใบหักภาษี 1,000 บาท ไปใช้ลดหย่อนภาษีตอนยื่นได้
3. ภาษีเงินได้ (Income Tax)
“ภาษีเงินได้” คือ ภาษีจาก “กำไรสุทธิ” ของธุรกิจ หรือ รายได้หักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนแล้ว แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
1. กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เจ้าของคนเดียว)
รายได้จากการขนส่งเป็นเงินได้ประเภท 8 มาตรา 40(8) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ เหมาจ่าย 60% หรือ เลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง หากเลือกหักตามจริงจะต้องมีเอกสารในการจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับเงินได้ เช่น แนบสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับเงิน และเซ็นรับเงินไว้ พร้อมกับเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานด้วย เมื่อได้ผลลัพธ์ของกำไรสุทธิ ให้นำกำไรสุทธิ มาหักค่าลดหย่อน (เช่น ค่าใช้จ่ายส่วนตัว, ค่าเลี้ยงชีพ, เบี้ยประกันชีวิต)
เมื่อหักค่าใช้จ่าย ลดหย่อนต่างๆ แล้วเหลือเท่าไร ให้นำไปเปรียบเทียบตารางภาษีก้าวหน้า หากคำนวณแล้วพบว่า ไม่เสียภาษี เจ้าของธุรกิจขนส่งสามารถขอเงิน ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ผู้ว่าจ้างหักไว้ก่อนหน้านี้คืนได้ หรือในกรณีที่ ต้องเสียภาษี สามารถนำภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่เคยถูกผู้ว่าจ้างหักไว้ มาหักลบกับจำนวนภาษีที่ต้องเสียได้ โดยวิธีการคำนวณภาษีเงินบุคคลธรรมดา คือ
กำไรสุทธิ = รายได้จากขนส่ง – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการคำนวณ: รายได้ขนส่งทั้งปี 1,200,000 บาท – ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับธุรกิจ 800,000 บาท = กำไรสุทธิ 400,000 บาท
(ค่าลดหย่อนส่วนตัว = 60,000 บาท) กำไรสุทธิ 400,000 บาท – ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท = กำไรสุทธิหลังลดหย่อน 340,000 บาท
ต้องเสียภาษี = คำนวณตามอัตราก้าวหน้า (ประมาณ 17,000–20,000 บาท)
2. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท / หจก.)
ธุรกิจขนส่งที่จดบริษัทเป็นนิติบุคคล คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% ของกำไรสุทธิ และต้องมีการทำบัญชีและยื่นภาษี ด้วยแบบ ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) และ ภ.ง.ด.51 (ครึ่งปี) โดยกิจการจะต้องมีการจ้างนักบัญชี เพื่อทำบัญชี งบการเงิน และเอกสารที่ต้องใช้ในการทำบัญชีธุรกิจขนส่งนิติบุคคล จะประกอบด้วย
- ฝั่งรายรับ ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินค่าขนส่ง หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย และเอกสารด้านรายจ่าย Statement
- ฝั่งรายจ่าย ได้แก่ เอกสารที่จ่ายเป็นค่าน้ำมัน ทางด่วน ค่าซ่อมแซมรถ ค่าประกันรถที่นำมาวิ่งงาน และค่ารถร่วม (ถ้ามี)
จากนั้นรวบรวมเอกสารทั้งหมดเพื่อส่งนักบัญชีลงข้อมูล พร้อมกับนำส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกเดือน ตลอดจนปิดงบการเงินรายปีส่งให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบ จากนั้นส่งงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี ให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากร โดยวิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ
กำไรสุทธิ = รายได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ตัวอย่างการคำนวณ: รายได้ทั้งปี: 10,000,000 บาท – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ 8,000,000 บาท = กำไรสุทธิ 2,000,000 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคล = 20% × 2,000,000 = 400,000 บาท
ในกรณีที่เจ้าของธุรกิจขนส่งไม่ยอมเสียภาษี ธุรกิจจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ค่าปรับ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ซึ่งรวมแล้วอาจมากกว่าการเสียภาษีจริงหลายเท่า และยังทำให้ธุรกิจเสียความน่าเชื่อถือด้วย
สรุป ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง แบบเข้าใจง่าย เลือกใช้บริการบัญชีและภาษีอย่างไรไม่ให้พลาด!
จากเนื้อหาในข้างต้นจะเห็นว่า ธุรกิจขนส่งต้องดูแลภาษีหลายด้าน ทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษี หัก ณ ที่จ่าย และ ภาษีเงินได้ เพราะฉะนั้นการจัดการภาษีอย่างถูกต้อง คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจขนส่ง หากคุณไม่มั่นใจว่าจะเริ่มตรงไหน หรืออยากลดความเสี่ยงจากค่าปรับและภาษีย้อนหลัง นรินทร์ทอง เราพร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
- การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
- รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
- งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
- ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ
สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339