ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า ต้องเริ่มยังไง!

หากใครที่กำลังวางแผนอยากทำธุรกิจร้านขายเสื้อผ้า และต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง การวางแผน ทําบัญชีขายเสื้อผ้า ที่ดีมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจน ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ แต่การทำบัญชีสำหรับธุรกิจขายเสื้อผ้านั้นก็มีอยู่หลายวิธีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ความซับซ้อน และความถนัดของผู้ประกอบการ วันนี้ นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปเรียนรู้ การวางแผนทําบัญชีร้านขายเสื้อผ้า พร้อมเรียนรู้แนวทางโครงสร้างของธุรกิจ การเก็บเอกสาร และตัวอย่างการบันทึกบัญชีในแต่ละเคสที่น่าสนใจ สำหรับใครต้องการแนวทางเหล่านี้ต้องห้ามพลาด! เพราะทุกขั้นตอนคุณสามารถนำไปปรับใช้ได้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินอย่างราบรื่น

 

การวางแผน ทำบัญชีขายเสื้อผ้า

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

เหตุผลที่ควรทำบัญชีในธุรกิจขายเสื้อผ้า ไม่ใช่แค่เรื่องของการเสียภาษี แต่การทำบัญชียังเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและยั่งยืนได้ในระยะยาว ดังนั้นการวางแผนทำ บัญชีขายเสื้อผ้า จึงประกอบไปด้วยหลายขั้นตอน ดังนี้

  1. ทำความเข้าใจประเภทของบัญชี – คุณต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจบัญชีพื้นฐาน 3 ประเภท ได้แก่
    1. รายได้ (Revenue) – เงินที่ได้จากการขายสินค้า (เสื้อผ้า)
    2. ต้นทุนสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold – COGS) – ต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการได้มาซึ่งสินค้า เช่น ค่าซื้อเสื้อผ้าจากซัพพลายเออร์
    3. ค่าใช้จ่าย (Expenses) – ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อสินค้า เช่น ค่าเช่าร้าน, ค่าไฟ, ค่าขนส่ง, ค่าโฆษณา, เงินเดือนพนักงาน
  2. เลือกระบบการทำบัญชี
    1. บัญชีมือ (Manual Accounting) – เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายการไม่มากนัก คุณสามารถใช้สมุดบัญชีทั่วไป หรือโปรแกรมตารางคำนวณ เช่น Excel เพื่อบันทึกรายการ
    2. โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป (Accounting Software) – เหมาะสำหรับธุรกิจที่เติบโตขึ้นมา มีรายการซื้อขายมากขึ้น โปรแกรมเหล่านี้จะช่วยให้การบันทึกบัญชีง่ายขึ้น และสามารถสร้างรายงานการเงินอัตโนมัติได้
    3. จ้างนักบัญชี (Accountant) – เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง และประหยัดเวลาของเจ้าของกิจการ
  3. บันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่าย
    1. บัญชีรายรับ
      • คุณต้องบันทึกยอดขายในแต่ละวัน โดยระบุ วันที่ขาย, จำนวนเงิน, วิธีการชำระเงิน และ รายการสินค้าที่ขาย หากเป็นไปได้
      • เก็บหลักฐานการขาย เช่น ใบเสร็จรับเงิน หรือสลิปการโอนเงิน
    2. บัญชีรายจ่าย
      • คุณต้องบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของธุรกิจ โดยแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น ต้นทุนสินค้า, ค่าใช้จ่ายในการขาย, และ ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
      • เก็บหลักฐานการจ่ายเงินทั้งหมด เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี, หรือบิลเงินสด เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบ
  4. การจัดการต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Management)
    1. บันทึกการซื้อสินค้า – ทุกครั้งที่ซื้อเสื้อผ้าเข้ามา คุณต้องบันทึกจำนวน ราคา และวันที่ซื้อ
    2. บันทึกการขายสินค้า – เมื่อขายออกไป ก็ต้องตัดสต็อกออกจากรายการ
    3. ตรวจสอบสต็อก – ควรมีการตรวจนับสต็อกเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่ายอดในบัญชีตรงกับจำนวนสินค้าจริง
  5. การจัดทำรายงานทางการเงิน – การบันทึกบัญชีอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณต้องนำข้อมูลมาสรุปเป็นรายงานเพื่อดูผลประกอบการ
    1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement) – แสดงรายได้ทั้งหมด หักด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพื่อดูว่าร้านของคุณมีกำไรหรือขาดทุน
    2. งบดุล (Balance Sheet) – แสดงฐานะทางการเงินของร้าน ณ วันใดวันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย สินทรัพย์, หนี้สิน, และส่วนของเจ้าของ
    3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) – แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดเข้า-ออกในธุรกิจ
  6. การจัดการภาษี 
    1. ภาษีเงินได้ – ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล (ถ้าจดทะเบียนเป็นบริษัท)
    2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – หากร้านมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
    3. ภาษีอื่นๆ – เช่น ภาษีป้าย

 

โครงสร้างธุรกิจเสื้อผ้า

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

โครงสร้างของธุรกิจเสื้อผ้า สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย ซึ่งแต่ละส่วนมีความสำคัญต่อการดำเนินงานตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • ต้นทุน (Cost)  
    • คือค่าใช้จ่ายจากต้นทุนจริง ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น แรงงาน, วัสดุ, ค่าการตลาดและโฆษณา เป็นต้น
  • รายได้ (Revenue) 
    • รายได้จากการขายปลีก – การขายเสื้อผ้าให้กับลูกค้าโดยตรงผ่านหน้าร้าน, ร้านค้าออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ
    • รายได้จากการขายส่ง – ขายเสื้อผ้าให้กับร้านค้าอื่นๆ หรือตัวแทนจำหน่ายในปริมาณมาก
    • รายได้จากการรับจ้างผลิต – รับจ้างผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆ หรือลูกค้าที่สั่งผลิตในปริมาณมาก
  • ค่าใช้จ่าย (Expenses) 
    • คือค่าใช้จ่ายทั่วไปที่ทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ได้แก่
      • ค่าสาธารณูปโภค – ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต
      • ค่าเช่า – ค่าเช่าพื้นที่สำหรับหน้าร้าน, โกดัง, หรือสำนักงาน
      • ค่าขนส่ง – ค่าจัดส่งสินค้า, ค่าขนส่งวัตถุดิบ
      • ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม – ค่าธรรมเนียมในการขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม E-Commerce
      • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ – ค่าบัญชี, ค่าที่ปรึกษา, ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์

 

การเก็บเอกสาร

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

ในส่วนของการจัดเก็บเอกสารสำหรับธุรกิจเสื้อผ้า ควรจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและใช้งาน รวมถึงการป้องกันความเสียหายของเอกสาร โดยเอกสารสำคัญที่ควรจัดเก็บ ได้แก่

  1. เอกสารการซื้อขาย – ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี, ใบส่งของ, ใบรับสินค้า
  2. เอกสารการผลิต – รายละเอียดสินค้า, สต็อกสินค้า
  3. เอกสารการเงิน – ใบแจ้งหนี้, ใบเสร็จรับเงิน, ใบสำคัญจ่าย, บัญชีธนาคาร
  4. เอกสารทางการตลาด – ใบเสนอราคา, แคตตาล็อกสินค้า, ข้อมูลลูกค้า
  5. เอกสารอื่นๆ – ใบรับประกันสินค้า, สัญญาเช่า, สัญญาจ้าง

ซึ่งวิธีการจัดเก็บเอกสารสำหรับธุรกิจเสื้อผ้า สามารถทำได้ดังนี้

  1. แบ่งแยกประเภทเอกสาร – แบ่งเอกสารตามประเภท เช่น เอกสารการเงิน, เอกสารการขาย, เอกสารการผลิต และเอกสารการตลาด เป็นต้น
  2. จัดเก็บให้เป็นระบบ – คุณสามารถใช้ตัวช่วยอย่าง แฟ้มเอกสาร, ตู้เก็บเอกสาร หรือระบบจัดเก็บดิจิทัล (Cloud storage) เพื่อจัดเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ
  3. ระบุหมวดหมู่ให้ชัดเจน – ติดป้ายชื่อหรือใช้ระบบการจัดหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาเอกสาร
  4. จัดทำสำเนา – จัดเก็บเอกสารต้นฉบับและสำเนาไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายหรือการสูญหาย
  5. รักษาความปลอดภัย – จัดเก็บเอกสารไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยและจำกัดการเข้าถึง เพื่อป้องกันการถูกขโมยหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
  6. ทำลายเอกสารที่หมดอายุ – ทำลายเอกสารที่ไม่จำเป็นหรือหมดอายุตามที่กฎหมายกำหนด โดยใช้เครื่องทำลายเอกสารเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
  7. จัดเก็บเอกสารดิจิทัล – สแกนเอกสารเป็นไฟล์ดิจิทัลและจัดเก็บในระบบคลาวด์ หรือฮาร์ดไดรฟ์สำรอง เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงและป้องกันความเสียหาย

 

ตัวอย่างการบันทึกบัญชี ในแต่ละเคสที่น่าสนใจ

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

เคสที่ 1: ร้านเสื้อผ้าออนไลน์ขนาดเล็ (ทำบัญชีแบบง่ายใน Excel) 

ลักษณะธุรกิจ: ซื้อเสื้อผ้าจากตลาดขายส่ง มาขายต่อผ่าน Instagram,  Shopee หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ไม่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล

การบันทึกบัญชี: ใช้ตาราง Excel ในการบันทึกข้อมูลหลัก 3 ส่วน ได้แก่ รายได้, ต้นทุนสินค้า, และค่าใช้จ่าย

ตัวอย่างการบันทึก: อันดับแรกต้องกำหนดคอลัมพ์ Excel ให้ละเอียดเลยว่า แต่ละคอลัมพ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยเริ่มต้นกำหนดคอลัมพ์แรกให้เป็น วัน เดือน / ปี >> รายละเอียดค่าใช้จ่าย >> ช่องทางขาย >> จำนวนเงิน (รายได้) >> จำนวนเงิน (ต้นทุน) >> จำนวนเงิน (ค่าใช้จ่าย) >> หมายเหตุ

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

เคสที่ 2: ร้านเสื้อผ้าที่มีหน้าร้าน (ใช้โปรแกรม POS และโปรแกรมบัญชี)

ลักษณะธุรกิจ: มีหน้าร้านและขายผ่านช่องทางออนไลน์ มีการจดทะเบียนบริษัท มีการจ้างพนักงาน

การบันทึกบัญชี: สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ

  1. ณ จุดขาย (Point of Sale – POS) – ใช้ระบบ POS ในการบันทึกยอดขายทันทีที่ลูกค้าชำระเงิน ระบบจะบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น วันที่ขาย, จำนวนเงิน, วิธีชำระเงิน, และตัดสต็อกสินค้าอัตโนมัติ
  2. โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป – นำข้อมูลยอดขายจากระบบ POS มาบันทึกในโปรแกรมบัญชี เช่น FlowAccount หรือ PEAK ซึ่งโปรแกรมจะช่วยจัดการ
    • บันทึกรายจ่าย – บันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่า, เงินเดือนพนักงาน, ค่าไฟ, ค่าการตลาด
    • การจัดการสต็อก – โปรแกรมจะเชื่อมโยงกับระบบ POS เพื่อควบคุมสต็อกได้อย่างแม่นยำ
    • ภาษี – โปรแกรมจะคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้
    • การจัดทำรายงาน – โปรแกรมจะสร้างงบกำไรขาดทุนและงบดุลให้อัตโนมัติ

ตัวอย่างการบันทึก:

  • บันทึกยอดขาย – โปรแกรมดึงข้อมูลจากระบบ POS เช่น ยอดขายวันที่ 15 ส.ค. จำนวน 15,000 บาท
  • บันทึกค่าใช้จ่าย – บันทึกค่าเช่าร้าน 30,000 บาท
  • บันทึกต้นทุนสินค้า – บันทึกการซื้อเสื้อผ้าล็อตใหม่ 100 ตัว เป็นเงิน 50,000 บาท

ทําบัญชีขายเสื้อผ้า

เคสที่ 3: แบรนด์เสื้อผ้าที่มีการผลิตเอง (การคำนวณต้นทุนที่ซับซ้อนขึ้น)

ลักษณะธุรกิจ: ออกแบบและผลิตเสื้อผ้าด้วยตนเอง มีการจ้างโรงงานผลิต

การบันทึกบัญชี: ต้องคำนวณ ต้นทุนการผลิต (Cost of Production) ซึ่งประกอบไปด้วย

  • ค่าวัตถุดิบทางตรง เช่น ค่าผ้า, กระดุม, ซิป
  • ค่าแรงงานทางตรง เช่น ค่าจ้างพนักงานที่ตัดเย็บโดยตรง
  • ค่าใช้จ่ายในการผลิต เช่น ค่าเช่าโรงงาน, ค่าไฟ, ค่าน้ำ, ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร

ตัวอย่างการบันทึกบัญชี:

  • บันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโปรแกรมบัญชี – เช่น ค่าผ้า, ค่าจ้างโรงงาน, ค่าการตลาด
  • คำนวณต้นทุนต่อหน่วย – เช่น เสื้อ 1 ตัว มีต้นทุนวัตถุดิบ 150 บาท + ค่าแรง 50 บาท + ค่าใช้จ่ายในการผลิตเฉลี่ย 30 บาท = ต้นทุนรวม 230 บาท
  • บันทึกยอดขาย – เมื่อขายเสื้อได้ 1 ตัว ราคา 600 บาท โปรแกรมจะบันทึกรายได้ 600 บาท และบันทึกต้นทุนสินค้าที่ขายเป็น 230 บาท เพื่อแสดง กำไรขั้นต้น ที่แท้จริง

 

 

เริ่มต้นทำธุรกิจขายเสื้อผ้า ให้ นรินทร์ทอง เป็นที่ปรึกษาด้าน ทำบัญชีขายเสื้อผ้า พร้อมต่อยอดธุรกิจ

จากในเนื้อหาจะเห็นว่า การเริ่มต้นทำธุรกิจเสื้อผ้าที่ต้องมีหน้าร้าน หรือต้องจดทะเบียนนิติบุคคลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการทำบัญชีจะมีความซับซ้อนมากขึ้น หากคุณต้องการขยายธุรกิจในมีหน้าร้าน หรือมีแนวทางอยากขยายสาขาในอนาคต การเลือก ทำบัญชีขายเสื้อผ้า โดยสำนักงานบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก หากคุณสนใจขอแนะนำ นรินทร์ทอง เป็นที่ปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น

  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ

สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…

Facebook : NarinthongOfficial

E-mail : narinthong.ac@gmail.com

Line : @Narinthong

Tel : 081-627-6872 02-404-2339

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ และคุกกี้ในส่วนการตลาด

    คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน และคุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม

บันทึกการตั้งค่า