“ธุรกิจขนส่ง” เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและรายละเอียดเยอะ ทั้งค่าน้ำมัน, ค่าซ่อมบำรุง, ค่าประกันภัย, ค่าแรงคนขับ รวมไปถึงภาระภาษีที่ต้องจัดการอย่างถูกต้อง หากขาดการวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้น ธุรกิจขนส่งอาจกลายเป็น “หลุมพรางทางการเงิน” ที่ทำให้เจ้าของกิจการขาดทุนหรือมีปัญหากับหน่วยงานภาครัฐได้ ดังนั้น การวางแผน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและคู่ค้าในระยะยาว วันนี้ นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจการวางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ก่อนเริ่มต้นธุรกิจอย่างถูกต้อง ถ้าอยากรู้ว่าก่อนเริ่มต้นสามารถวางแผนยังไงได้บ้าง? ตามมาดูกันเลย
การวางแผนธุรกิจขนส่ง เริ่มจากอะไร
การทำธุรกิจขนส่ง ไม่ใช่เพียงแค่มีรถแล้วก็เริ่มให้บริการได้ทันที เพราะเบื้องหลังธุรกิจนี้เต็มไปด้วยต้นทุนที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัย ค่าแรงคนขับ รวมไปถึงภาระภาษีที่ต้องจัดการอย่างถูกต้อง ดังนั้น ก่อนจะเริ่มธุรกิจขนส่ง การวางแผนจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่คือ “หัวใจสำคัญ” ที่ช่วยให้คุณบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. วิเคราะห์ตลาด และลูกค้าเป้าหมาย
- สำรวจความต้องการ: วิเคราะห์ความต้องการในพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงประเภทสินค้าและบริการที่ต้องการขนส่ง
- ศึกษาคู่แข่ง: ตรวจสอบคู่แข่งในตลาดและวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา
2. จัดทำแผนธุรกิจ
- กำหนดเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ
- วางกลยุทธ์: กำหนดกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงาน
3. การวางแผนต้นทุนและการเงิน
- ต้นทุนคงที่: รถขนส่ง, ค่าเสื่อม, ค่าประกันภัย
- ต้นทุนผันแปร: น้ำมัน, ค่าทางด่วน, ค่าแรงพนักงาน
- เงินทุนหมุนเวียน: ในส่วนนี้ต้องมีไว้จ่ายก่อน เช่น น้ำมัน (แต่ลูกค้าอาจจ่ายปลายเดือน)
4. การวางระบบบัญชีและภาษี – ธุรกิจขนส่งเกี่ยวข้องกับภาษีหลัก 3 อย่าง
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ต้องจดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรายได้และประเภทการขนส่ง
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ลูกค้ามักจะหักไว้ 1–3% ทุกครั้ง
- ภาษีเงินได้: บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า) หรือ นิติบุคคล (20% ของกำไรสุทธิ)
5. การจัดการด้านกฎหมายและใบอนุญาต
- จดทะเบียนธุรกิจ: พิจารณาเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล
- ขอใบอนุญาตและขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนรถขนส่ง, ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการขนส่ง (กรณีบางประเภท)
- ตรวจสอบกฎหมาย: ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง
- จัดหาประกันภัย: ประกันภัยรถขนส่ง / ประกันภัยสินค้าระหว่างขนส่ง
ต้นทุนของการทำธุรกิจขนส่ง
1. ต้นทุนตรง (Direct Costs) – เกี่ยวข้องโดยตรงกับการให้บริการขนส่ง
- ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง – ต้นทุนหลัก คิดเป็นสัดส่วนสูงสุด
- ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ – ยาง เครื่องยนต์ ระบบเบรก ฯลฯ
- ค่าเสื่อมราคารถขนส่ง – รถบรรทุก รถตู้ หรือรถกระบะที่ใช้ในการขนส่ง
- ค่าประกันภัยและภาษีรถ – ทั้งประกันภัยภาคบังคับและสมัครใจ
- ค่าทางด่วน/ค่าผ่านทาง/ค่าขนถ่ายสินค้า
2. ต้นทุนแรงงาน (Labor Costs)
- เงินเดือนและสวัสดิการพนักงานขับรถ
- ค่าแรงคนงานขนถ่ายสินค้า
- ค่าอบรม/ค่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกเฉพาะทาง
3. ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Costs)
- ค่าเช่าออฟฟิศ/โกดัง
- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
- ค่าซอฟต์แวร์บริหารงานขนส่ง (TMS), GPS Tracking
- ค่าใช้จ่ายสำนักงานทั่วไป
4. ต้นทุนด้านการเงินและภาษี (Financial & Tax Costs)
- ดอกเบี้ยสินเชื่อ/ลิสซิ่งรถขนส่ง
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ลูกค้าหักไว้
- ภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา 5–35% / นิติบุคคล 20%)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) กรณีจด VAT
- ค่าปรับและดอกเบี้ย (ถ้าไม่ยื่นหรือยื่นล่าช้า)
5. ต้นทุนการทำบัญชีและตรวจสอบ (Accounting Costs)
- ค่าจ้างนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีภายนอก
- ค่าทำงบการเงินประจำปี/ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)
- ค่าใช้จ่ายด้านระบบบัญชีออนไลน์/ซอฟต์แวร์บัญชี
รายได้ของทำบัญชีธุรกิจขนส่ง
ถ้าพูดถึงในเรื่องของ “รายได้” ของธุรกิจขนส่งสินค้า (ซึ่งต้องบันทึกไว้ในบัญชี) จะไม่ใช่มีแค่ค่าขนส่งอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงรายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้เจ้าของกิจการเข้าใจภาพรวมและวางแผนบัญชีได้ถูกต้อง ได้แก่
1. รายได้จากการให้บริการขนส่ง (หลัก)
- ค่าขนส่งตามระยะทาง (คิดกิโลเมตร/เที่ยว/เส้นทาง)
- ค่าขนส่งแบบเหมาคัน, เหมาตู้ หรือเหมารายเดือน
- ค่าบริการขนส่งด่วนพิเศษ (Express / Same-day delivery)
2. รายได้จากการบริการเสริม
- ค่าบริการยก-ขนถ่ายสินค้า (Loading/Unloading)
- ค่าบริการจัดเก็บหรือกระจายสินค้า (Warehousing & Distribution)
- ค่าบริการบรรจุหีบห่อ (Packaging)
- ค่าประกันสินค้าเพิ่มเติมระหว่างขนส่ง
3. รายได้จากการเช่าใช้ทรัพย์สิน
- รายได้จากการให้เช่ารถขนส่งพร้อมคนขับ
- รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้า/พื้นที่เก็บของ
4. รายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการอื่น ๆ
- ค่าธรรมเนียมจอดรถ/พักสินค้า
- ค่าดำเนินการเอกสาร (เช่น ใบขนสินค้า ใบตราส่ง Bill of Lading)
- ค่าบริการจัดการภาษีหรือพิธีการศุลกากร (สำหรับขนส่งระหว่างประเทศ)
5. รายได้ทางการเงิน/อื่น ๆ
- ดอกเบี้ยรับ (เช่น จากเงินฝากธุรกิจ)
- รายได้จากการขายสินทรัพย์ เช่น รถบรรทุกเก่า
- รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น รายได้จากการเช่า, รายได้จากค่าธรรมเนียม, รายได้ทางการเงิน
ค่าใช้จ่ายทำบัญชีธุรกิจขนส่ง
ค่าใช้จ่ายของธุรกิจขนส่ง (สำหรับทำบัญชี) คือ คือ ต้นทุนหรือรายจ่ายทุกประเภท ที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินงานขนส่งสินค้า ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการวิ่งรถ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ไปจนถึงค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าบริหารสำนักงาน ค่าบัญชี หรือค่าภาษี โดยมีการบันทึกในสมุดบัญชีหรือระบบบัญชี เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงของกิจการ ในส่วนนี้ การวางแผนและบันทึกค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ เห็นจุดที่ควบคุมต้นทุนได้ ช่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ธุรกิจโปร่งใสและน่าเชื่อถือ
การเก็บเอกสาร
เจ้าของกิจการขนส่งหลายรายมักพลาดในส่วนนี้ หากยื่นผิดพลาด อาจทำให้เสียสิทธิ์นำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษี ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล การเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบคือ หัวใจของการทำบัญชีและยื่นภาษีถูกต้อง เนื่องจากเอกสารเหล่านี้จะเป็นหลักฐานสำคัญในการ ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ตรวจสอบย้อนหลัง และลดความเสี่ยงกรณีสรรพากรเข้ามาตรวจสอบ โดยเอกสารธุรกิจขนส่งที่ควรเก็บ ได้แก่
1. เอกสารรายได้ – ใช้ยืนยันว่าธุรกิจมีรายรับจากการให้บริการจริง
- ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จรับเงิน (ออกให้ลูกค้า)
- ใบแจ้งหนี้ (Invoice)
- สัญญาว่าจ้างขนส่ง / หนังสือข้อตกลงกับลูกค้า
- หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชี
2. เอกสารรายจ่าย – ใช้ยืนยันค่าใช้จ่ายเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีและบันทึกต้นทุน
- ใบเสร็จค่าน้ำมัน
- ใบเสร็จค่าซ่อมบำรุงรถ / อะไหล่
- ใบเสร็จค่าประกันภัยและภาษีรถยนต์
- ใบเสร็จค่าทางด่วน / ค่าผ่านทาง
- ใบกำกับภาษีจากคู่ค้า (ถ้ามี VAT)
- สัญญาเช่ารถ / เอกสารค่าเช่ารถ
3. เอกสารค่าแรงและบุคลากร – เกี่ยวข้องกับพนักงานและผู้ขับรถ
- สัญญาจ้างงาน
- ใบลงเวลาทำงาน / สลิปเงินเดือน
- หลักฐานการโอนเงินเดือน
- เอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ภงด.1)
4. เอกสารภาษี – ใช้ยื่นต่อกรมสรรพากรและเป็นหลักฐานยืนยัน
- แบบยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภงด.1, 3, 53)
- แบบยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) – กรณีจด VAT
- แบบยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91)
- แบบยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50, 51)
- หลักฐานการชำระภาษี
5. เอกสารบัญชีและการเงิน – เพื่อใช้จัดทำงบการเงินและควบคุมเงินสด
- สมุดบัญชีรายวันรับ–จ่าย
- บัญชีธนาคาร (Statement)
- เอกสารการกู้ยืม / สัญญาเช่าซื้อรถขนส่ง
- เอกสารการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้
โดยสรุปแล้ว การวางแผนทำธุรกิจขนส่งรอบด้านตั้งแต่ต้น ไม่ใช่แค่ทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจทำกำไรได้ชัดเจน มีความโปร่งใส เจ้าของสามารถควบคุมธุรกิจได้ง่าย และลดความเสี่ยงทางกฎหมายและภาษี
ลดต้นทุน เพิ่มกำไร วางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง กับ นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี
หากเจ้าของธุรกิจขนส่งไม่มีเวลา ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ด้วยตัวเอง การเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี จะช่วยจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การบันทึกบัญชี การวางแผนภาษี จนถึงการปิดงบการเงิน ทำให้คุณโฟกัสกับการขยายธุรกิจได้เต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจขนส่งเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ เพราะเราให้คำปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
- การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
- รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
- งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
- ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ
สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339