การขายของออนไลน์ในปัจจุบัน ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นิยมอย่างมาก เพราะสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องมีหน้าร้านก็สามารถหารายได้เสริมได้ ซึ่งในตอนนี้มีแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย และ 2 แพลตฟอร์มซื้อ-ขายยอดฮิตที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี นั่นก็คือ Shopee และ Lazada แพลตฟอร์มค้าขายออนไลน์ขนาดใหญ่ ที่มีวิธีการใช้งานง่าย เข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม แถมยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยดึงดูดลูกค้า อย่างเช่น แคมเปญยอดฮิต 11.11 หรือ การเก็บคูปองส่วนลดต่างๆ จากทางแพลตฟอร์ม แต่ในขณะเดียวกันนี้ หลายๆ คนอาจเกิดข้อสงสัยว่า แล้วการ ขายของใน Shopee Lazada เสียภาษีไหม? วันนี้ นรินทร์ทอง จึงอยากชวนทุกคนมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมแชร์รายละเอียดอื่นๆ ที่ผู้ที่ทำธุรกิจขายของออนไลน์ควรรู้! เพื่อเป็นคู่มือสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่
ขายของใน Shopee Lazada เสียภาษีไหม
สำหรับใครที่สนใจอยากทำธุรกิจขายของออนไลน์ ในแพลตฟอร์ม E Commerce อย่าง Shopee และ Lazada แต่เกิดช้อสงสัยว่า “ขายของใน shopee เสียภาษีไหม?” คำตอบคือ “ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่นๆ” โดยการยื่นเสียภาษีนั้น จะต้องนำรายได้ทั้งหมดมาคำนวณ เพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ โดยการยื่นแบบภาษีและการเสียภาษีไม่มีการกำหนดอายุผู้เสียภาษี นั้นหมายความว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณมีรายได้ทั้งปีรวม 120,000 เข้าเกณฑ์ที่จะต้องการยื่นภาษี แต่ถ้าหากคุณมีรายได้ทั้งปีรวม 310,000 ต้องเสียภาษี คุณมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาท คุณจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน หลังจากที่มีรายรับเกินเกณฑ์ดังกล่าว
รายได้ขายของออนไลน์
หากคุณเริ่มขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee และ Lazada ถ้าสังเกตจะเห็นว่า มีรายได้เกิดขึ้นหลายประเภท โดยรายได้ที่เกิดขึ้นสามารถมาได้จากหลายช่องทาง ได้แก่
- รายได้จากการขายสินค้า – เป็นราคาที่ลูกค้าชำระสำหรับสินค้าที่คุณขาย หมายถึงจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่ายจริงในการซื้อสินค้า
- รายได้จากค่าจัดส่งที่ชำระโดยผู้ซื้อ – ผู้ขายอาจเรียกเก็บค่าจัดส่งสินค้าจากลูกค้า หรือรวมค่าจัดส่งไว้ในราคาสินค้า หรือบางครั้งผู้ขายอาจได้รับส่วนลด หรือค่าคอมมิชชั่นจากบริษัทขนส่ง
- รายได้จากคอมมิชชั่น – สำหรับผู้ขายที่ขายสินค้าแบบ Drop shipping หรือเป็นตัวแทนขาย จะได้รับส่วนแบ่งรายได้ หรือคอมมิชชั่นจากยอดขาย
ค่าใช้จ่ายขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์นอกจากจะมีรายได้ที่เข้ามา ยังมีค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียด้วยเช่นกัน โดยการขายของ 1 ชิ้นค่าใช้จ่ายที่ต้องเสีย ได้แก่
- ต้นทุนสินค้าที่จ่ายให้กับ Supplier
- ต้นทุนสินค้า
- ค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับ Shopee, Lazada
- ค่าขนส่ง
- ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Payment Fee)
- ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission Fee)
- ค่าโฆษณา (Affiliate Ads)
- ค่าเข้าร่วมโปรแกรมต่างๆ
- Freeship Max
- Cash Back
การเข้าใจเรื่องรายได้และค่าใช้จ่าย เป็นสิ่งสำคัญสำหรับร้านขายของออนไลน์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการรู้เรื่องรายได้และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถปรับปรุง และพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
การเข้าร่วมแคมเปญ พร้อมยกตัวอย่าง
จะเห็นว่าทั้งแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada มักจะมีกิจกรรมให้ร้านค้าเข้าร่วมแคมเปญมากมาย ซึ่งในแต่ละแคมเปญจะมีโปรโมชันราคาสินค้าต่างๆ ที่น่าสนใจ วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับทางร้านค้าได้ดี แต่ในขณะเดียวกันผู้ขายก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน สำหรับแพลตฟอร์ม Shopee ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญส่งเสริมการขาย ร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญจะเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังนี้
- ส่งฟรี ทางร้านจะโดนหัก 5% โดยจะหักเปอร์เซ็นต์จาก ยอดขายรวม (Gross Transaction Value หรือ GTV) ของผู้ขาย ซึ่งรวมทั้งค่าสินค้าและค่าจัดส่งก่อนที่จะมีการใช้ส่วนลดต่างๆ เช่น คูปอง หรือ โปรโมชันที่ให้กับลูกค้า
- Coin cash back โดนหัก 3-4% จากราคาขายสินค้าสุทธิ ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้จะถูกนำไปใช้สำหรับการสนับสนุนโปรแกรม Coin cash back ที่มอบเหรียญ Shopee Coins คืนให้กับลูกค้า เพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าบนแพลตฟอร์ม
- เข้าร่วมทั้ง ส่งฟรี และ Coin cash back จะโดนหัก 6-7% หากร้านค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการขายทั้ง 2 แคมเปญ ร้านค้าจะถูกหักค่าธรรมเนียมที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จากยอดขายของสินค้าในแคมเปญนั้นๆ และจะหักค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น หากร้านค้าเข้าร่วมแคมเปญพิเศษอื่นๆ
ส่วนแพลตฟอร์ม Lazada ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญ Lazada Payday ร้านค้าที่เข้าร่วมแคมเปญจะเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน 3.21% เป็นค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อทำธุรกรรมการชำระเงิน ผ่านช่องทางต่าง ๆ บน Lazada โดยอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3.21% (รวม VAT 7%) ของราคาคำสั่งซื้อรวมค่าจัดส่งที่ชำระโดยผู้ซื้อยกตัวอย่างการคำนวณค่าธรรมเนียมของ Lazada ร้านค้า A เป็นร้านค้าทั่วไป ลูกค้าได้มีการสั่งซื้อสินค้าในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภค 1,000 บาท โดยใช้ส่วนลดของร้านค้า 50 บาท และจ่ายค่าจัดส่ง 30 บาท จะมีวิธีคำนวณค่าธรรมเนียม ดังนี้
-
- ยอดขายก่อนหักส่วนลด 1,000 บาท
- หัก ส่วนลดร้านค้า (50) บาท
- ยอดขายหลังหักส่วนลด 950 บาท
- หัก ค่าบริการมาเก็ตเพลส (950*7.49%) = 71.155 บาท
- ค่าจัดส่งที่ชำระโดยผู้ซื้อ 30 บาท
- หัก ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน 3.21% (980*3.21%) = 3.1.458 บาท
- รวมยอดเงินที่ผู้ขายจะได้รับ 877.387 บาท
- รวมค่าธรรมเนียมทั้งหมด = 71.155 + 31.458 = 102.613 บาท
- ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission) 3.21 – 5.35% เป็นค่าธรรมเนียมที่ Lazada จะเรียกเก็บจากผู้ขาย เมื่อมีการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 3.21% หรือต่ำกว่า ส่วนสินค้ากลุ่มแฟชั่นหรือสินค้าอื่นๆ จะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 5.35% หรืออาจสูงกว่านั้น
- โปรแกรมส่งฟรี 6.42% หรือทางร้านค้าออกค่าส่งเอง เป็นโปรโมชันที่จัดขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้า โดยตัวเลข 6.42% นี้คือ ส่วนลดเพิ่มเติมจากราคาสินค้า เมื่อลูกค้าใช้โค้ดส่วนลด หรืออาจเป็นการลดราคาที่ทางระบบ คำนวณอัตโนมัติในหน้าชำระเงิน
- คูปอง แคมเปญ (Laz Bonus) 5.35% เป็นส่วนลดพิเศษที่ได้รับจาก Lazada เมื่อซื้อสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนดในแคมเปญ เช่น ซื้อครบ 100 บาท จึงจะได้รับส่วนลด 5.35% ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อสินค้ามูลค่า 1,000 บาท คุณจะได้รับส่วนลด 53.50 บาท ถ้ายอดซื้อรวมเป็น 2,000 บาท ส่วนลดจะเท่ากับ 107 บาท
ภาษีเงินได้ (Income Tax)
ภาษีเงินได้แบ่งเป็น 2 ประเภทตามสถานะของผู้ขาย:
1. บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax – PIT)
รายได้จากการขายสินค้าจะถือเป็น เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 (ตามมาตรา 40(8))
- การคำนวณ:
- รายได้รวม
รวมรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ เช่น ค่าสินค้า (ที่ลูกค้าจ่าย) - หักค่าใช้จ่าย (เลือกได้ 1 วิธี):
- หักแบบเหมา: 60% ของรายได้
- หักตามจริง: ค่าใช้จ่ายที่มีเอกสารหลักฐาน
- คำนวณเงินได้สุทธิ:
เงินได้สุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน - เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า:
- รายได้สุทธิน้อยกว่า 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- 150,001 – 300,000 บาท: 5%
- 300,001 – 500,000 บาท: 10%
- 500,001 – 750,000 บาท: 15%
- 750,001 – 1,000,000 บาท: 20%
- 1,000,001 – 2,000,000 บาท: 25%
- 2,000,001 – 5,000,000 บาท: 30%
- มากกว่า 5,000,000 บาท: 35%
- รายได้รวม
ยกตัวอย่างเช่น
- ขายสินค้าออนไลน์
- รายได้รวมต่อปี: 1,200,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายที่เลือกหักแบบเหมา: 60% ของรายได้
- ค่าลดหย่อน: 60,000 บาท (ลดหย่อนส่วนตัว)
ขั้นตอนการคำนวณ
- คำนวณรายได้สุทธิ
- รายได้รวม = 1,200,000 บาท
- หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา (60% ของรายได้รวม):
1,200,000 × 60% = 720,000 บาท - เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย:
1,200,000 – 720,000 = 480,000 บาท
- หักค่าลดหย่อน
- เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย = 480,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
- เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี:
480,000 – 60,000 = 420,000 บาท
- คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
- อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย (2566):
- 0 – 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- 150,001 – 300,000 บาท: 5%
- 300,001 – 500,000 บาท: 10%
- เงินได้สุทธิ: 420,000 บาท
- 150,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี
- 150,001 – 300,000 บาท: 300,000 – 150,000 = 150,000 บาท × 5% = 7,500 บาท
- 300,001 – 420,000 บาท: 420,000 – 300,000 = 120,000 บาท × 10% = 12,000 บาท
- ภาษีที่ต้องจ่าย = 7,500 + 12,000 = 19,500 บาท
- อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย (2566):
2. นิติบุคคล (Corporate Income Tax – CIT)
- รายได้จากการขายสินค้าจะถือเป็น รายได้จากการประกอบกิจการ
- การคำนวณ:
- รายได้รวม – รวมรายได้ทั้งหมดจากการขายสินค้า
- หักค่าใช้จ่ายตามจริง – เช่น ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ค่าขนส่ง ค่าโฆษณา ค่านายหน้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- กำไรสุทธิ (Net Profit) – กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- เสียภาษีนิติบุคคล 15% สำหรับ SME
หมายเหตุ: กิจการที่เป็น SMEs อาจได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดอัตราภาษีในช่วงแรก
วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกรณีที่ กำไรสุทธิ 1,700,000 บาท จะอ้างอิงกับ อัตราภาษีสำหรับ SME หากบริษัทมีคุณสมบัติตามเงื่อนไข SME โดยมีดังนี้
- ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท
- รายได้รวมต่อปีไม่เกิน 30 ล้านบาท
ตัวอย่างการคำนวณในกรณีนิติบุคคล
1. อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SME
- กำไรสุทธิ 1 – 300,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท: เสียภาษีในอัตรา 15%
2. ขั้นตอนการคำนวณ
- แบ่งกำไรสุทธิตามช่วงอัตราภาษี
- กำไรสุทธิ 1 – 300,000 บาทแรก: ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 บาท = 1,700,000 – 300,000 = 1,400,000 บาท
- คำนวณภาษีสำหรับกำไรส่วนเกิน
- เสียภาษี 15% ของ 1,400,000 บาท
- 1,400,000 × 15% = 210,000 บาท
- สรุปผลการคำนวณ
- เสียภาษี 15% ของ 1,400,000 บาท
- 1,400,000 × 15% = 210,000 บาท
- กำไรสุทธิรวม: 1,700,000 บาท
- ภาษีที่ต้องจ่าย: 210,000 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในส่วนถัดมา สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนกังวล คือ เรื่อง “ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat)” ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ โดยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปัจจุบันเป็นอัตรา 7% ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% จากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ แล้วนำส่งให้แก่กรมสรรพากร โดยตัวชี้วัดง่ายๆ ที่ทำให้พ่อค้าหรือแม่ค้าออนไลน์อย่างเรา จะรู้ได้ว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่นั้น ต้องเช็กที่ยอดรายได้ หากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี แน่นอนว่าเราต้องรีบไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยทันที ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ
- ภาษีขาย – คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่เราเรียกเก็บจากลูกค้า ซึ่งต้องคิดรวมอยู่ในราคาขายและค่าขนส่งไว้เรียบร้อยแล้ว
- ภาษีซื้อ – ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เราถูก Supplier หรือว่า Shopee, Lazada เรียกเก็บไป ในอัตรา 7 % เช่นเดียวกัน สังเกตง่ายๆ จากใบกำกับภาษีที่เราได้รับมา
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ถัดมาคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นภาษีที่ผู้จ่ายมีหน้าที่หักจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ อย่าง Shopee และ Lazada จากนั้นก็ให้นำส่งให้กับกรมสรรพากรให้เรียบร้อย ภายใน 7 วันของเดือนถัดไป (ถ้ายื่นแบบออนไลน์นำส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป) แต่ก็ใช่ว่าทุกรายจ่ายจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเสมอไป เพราะกฎหมายกำหนดประเภทรายจ่ายที่ต้องหัก ณ ที่จ่ายเอาไว้ และอัตราการหัก ณ ที่จ่ายไว้เช่นกัน ยกตัวอย่างประเภทค่าใช้จ่ายที่พบบ่อยใน Shopee, Lazada และต้องหัก ณ ที่จ่าย มีดังนี้
- ค่าขนส่งจ่ายให้ Shopee, Lazada หัก ณ ที่จ่าย 1%
- ค่าบริการอื่นๆ หัก ณ ที่จ่าย 3% เช่น
- ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Payment Fee)
- ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission Fee)
- ค่าโฆษณา (Affiliate Ads)
- ค่าเข้าร่วมโปรแกรมต่างๆ
เมื่อหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว นรินทร์ทอง แนะนำว่าทางร้านค้าออนไลน์ อย่าลืมออกหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่ายไว้เป็นหลักฐานแก่ Shopee และ Lazada ด้วยค่ะ
ขายของใน shopee เสียภาษีไหม นรินทร์ทอง พร้อมให้คำปรึกษาและบริการครบวงจร
หากกล่าวโดยสรุปจากเนื้อหาข้างต้นที่หลายๆ คนสงสัยว่า ขายของใน shopee เสียภาษีไหม? คำตอบคือ “ต้องเสียภาษีเมื่อมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด” นอกจากนี้จะเห็นว่าการขายของบนแพลตฟอร์ม Shopee Lazada นั้น ส่งผลดีต่อร้านค้าในหลายด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างเช่น การโดนหักค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งทางที่ดีร้านค้าออนไลน์ ควรวางแผนภาษีขายออนไลน์ ให้ดี ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณมีผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถให้คำปรึกษาด้านบัญชีและภาษีได้ ก็จะยิ่งช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น และส่งผลดีในหลายๆ ด้าน ซึ่งสำนักงานบัญชีที่แนะนำ คือ บริษัท นรินทร์ทอง จำกัด ให้บริการ รับทำบัญชี และจัดทำงบการเงิน โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชีและภาษี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
- การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
- รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
- งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
- ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ
สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339