การเริ่มต้นทำ “ธุรกิจแฟรนไชส์” มีหลักการคล้ายกับการทำบัญชีธุรกิจทั่วไป แต่มีจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นั่นก็คือ การบันทึกและจัดการ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Royalty Fees) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นรินทร์ทอง จึงอยากมาแนะนำวิธีการวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ สำหรับมือใหม่ที่กังวลว่า จะเริ่มต้นทำธุรกิจแฟรนไชส์ยังไงดี มาดูพร้อมกันไปกับเราบทความนี้
เริ่มต้นวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ยังไงให้ไม่มีพลาด?
การวางแผนบัญชีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของธุรกิจแฟรนไชส์ และกำหนดโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และการบัญชีที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและควบคุมการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนของแฟรนไชส์ซอร์ (ผู้ขายสิทธิ์) และแฟรนไชส์ซี (ผู้ซื้อสิทธิ์) นรินทร์ทอง แนะนำให้คุณเริ่มต้นจากการทำ “ผังบัญชีมาตรฐาน” (Standard Chart of Accounts) เพราะถือว่าเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการวางระบบบัญชีแฟรนไชส์ เพราะผังบัญชีคือ พิมพ์เขียวทางการเงิน ที่กำหนดว่าธุรกิจจะจัดหมวดหมู่และบันทึกรายการต่างๆ อย่างไร
ทั้งนี้ ผังบัญชีแฟรนไชส์มาตรฐาน ประกอบไปด้วย รายการบัญชีหลัก 5 หมวด ได้แก่ ต้นทุน, รายได้, ค่าใช้จ่าย, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน และ หนี้สินเฉพาะ (เช่น รายได้ค่าธรรมเนียมล่วงหน้า/กองทุนโฆษณา) แต่บทความนี้เราจะเน้นเป็นพิเศษที่ ต้นทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย เพราะเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการคำนวณ กำไร/ขาดทุน ในแต่ละวันได้ มาดูกันว่ารายละเอียดแต่ละหัวข้อจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
การบันทึกต้นทุน ของ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
เริ่มต้นกันที่ การบันทึกต้นทุน ในบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งมีความซับซ้อนกว่าธุรกิจทั่วไป เนื่องจากต้องแยกต้นทุนระหว่าง แฟรนไชส์ซอร์ (ผู้ขายสิทธิ์) และ แฟรนไชส์ซี (ผู้ซื้อสิทธิ์) รวมถึงการบันทึกรายการพิเศษที่เกี่ยวข้องกับค่าสิทธิ์และค่าธรรมเนียม โดยแบ่งได้ 2 ส่วนดังนี้
1. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
ต้นทุนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการสร้าง ขยาย และดูแลระบบ ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้า แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญตามแหล่งที่มาของรายได้ ได้แก่ ต้นทุนการขายสิทธิ์, ต้นทุนการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และ ต้นทุนกองทุนการตลาด
2. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
เน้นที่การจัดการต้นทุนการดำเนินงานของสาขา รวมถึงต้นทุนพิเศษที่เกิดจากการซื้อและใช้สิทธิ์แฟรนไชส์ ซึ่งมีความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไปตรงที่ ต้องมีการบันทึกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน และ ค่าใช้จ่ายคงที่ ที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์อย่างสม่ำเสมอ
รายได้ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สำหรับการบันทึกรายได้ในธุรกิจแฟรนไชส์มีความซับซ้อน เพราะมีกระแสเงินหลายส่วน และมีผลกระทบต่อ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่แตกต่างกันไปตามประเภทของรายได้
1. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
รายได้หลักของแฟรนไชส์ซอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน และมีผลต่อ VAT ที่ต่างกัน ได้แก่
- รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee) เป็นเงินก้อนเดียวที่ได้รับเมื่อมีการเซ็นสัญญา เพื่อแลกกับสิทธิ์การใช้ชื่อ เครื่องหมายการค้า และชุดความรู้เริ่มต้น
- การบันทึกบัญชี – รับรู้เป็นรายได้ตามมาตรฐานการบัญชี โดยอาจบันทึกเป็น หนี้สิน ก่อน แล้วค่อยทยอยรับรู้เป็นรายได้ตามความคืบหน้า
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – ถือเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับจากการให้บริการสิทธิ์ และการให้บริการอื่นๆ ต้องเสีย VAT โดยแฟรนไชส์ซอร์ต้องออกใบกำกับภาษีเต็มจำนวนตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
- รายได้ค่าสิทธิ์ (Royalty Fees) เป็นเงินที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ (มักเป็นรายเดือน) คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของแฟรนไชส์ซี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและรักษาระบบ
- การบันทึกบัญชี – บันทึกเป็นรายได้ค่าสิทธิ์ (Recurring Revenue) ในงวดที่เกิดยอดขายนั้นๆ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – ถือเป็นค่าตอบแทนที่ได้รับจากการให้ใช้สิทธิ์ (License) หรือการให้บริการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ต้องเสีย VAT โดยที่แฟรนไชส์ซอร์ต้องเป็นคนออกใบกำกับภาษี ให้แฟรนไชส์ซีตามรอบที่ได้รับชำระเงิน
- รายได้จากกองทุนการตลาด/โฆษณา (Advertising Fund) เป็นเงินที่เก็บจากแฟรนไชส์ซีตามสัดส่วน เพื่อใช้ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม
- การบันทึกบัญชี – แฟรนไชส์ซอร์มักบันทึกเงินที่ได้รับเป็น หนี้สิน เนื่องจากเงินนี้มีวัตถุประสงค์เฉพาะ และจะถูกหักออกด้วยค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – การเก็บเงินเข้ากองทุนอาจไม่ต้องเสีย VAT ทันที แต่ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ที่แฟรนไชส์ซอร์จ่ายออกจากกองทุน มี VAT ซื้อ (VAT Input) และต้องมีการจัดการให้ถูกต้อง
2. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
คือ รายได้จากการดำเนินงานของร้านตามปกติ
- รายได้จากการขายสินค้า/บริการ เป็นรายได้หลักที่มาจากการขายสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า
- การบันทึกบัญชี – บันทึกเป็นรายได้จากการขายตามปกติของธุรกิจ
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – หากยอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT โดย VAT จะต้องถูกเรียกเก็บจากลูกค้าและนำส่งกรมสรรพากร
- การจัดการภาษีซื้อและภาษีขาย (VAT Management) แฟรนไชส์ซีต้องจัดการ VAT ดังนี้
- ภาษีขาย (Output VAT) – ภาษีที่เก็บจากลูกค้าในการขายสินค้า
- ภาษีซื้อ (Input VAT) – ภาษีที่จ่ายไปในการซื้อวัตถุดิบสินค้า และที่สำคัญคือ VAT จากค่าสิทธิ์ (Royalty Fee) และ VAT จากค่าธรรมเนียมแรกเข้าที่แฟรนไชส์ซอร์ออกใบกำกับภาษีให้
ค่าใช้จ่ายบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
การบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ จะต้องแยกตามบทบาทของธุรกิจ โดยมี ผู้ขายสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซอร์) และ ผู้ซื้อสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซี) เพื่อให้การวางแผนภาษีและการควบคุมต้นทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
แฟรนไชส์ซอร์ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การขยาย และการบริหารจัดการระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด
- ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนระบบ (System Support & Admin Costs)
- ค่าใช้จ่ายฝ่ายปฏิบัติการ – ได้แก่ เงินเดือน ค่าเดินทาง และสวัสดิการของทีมงาน ที่ให้การสนับสนุนและควบคุมคุณภาพของสาขาแฟรนไชส์
- ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี – ได้แก่ ค่าพัฒนา ค่าบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ ระบบ POS และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ให้บริการแก่แฟรนไชส์ซี
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงานใหญ่ – ได้แก่ ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายทั่วไปในการบริหารจัดการองค์กร
- ต้นทุนการขายและภาระผูกพันเริ่มต้น
- ค่าคอมมิชชั่นการขาย – ค่าตอบแทนที่จ่ายให้พนักงานขายหรือนายหน้า ที่สามารถหาแฟรนไชส์ซีใหม่ได้
- ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและเอกสาร – ค่าใช้จ่ายในการจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ และเอกสารเปิดเผยข้อมูล (FDD) โดยจะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมแรกเข้า
- การจัดการกองทุนการตลาด (Advertising Fund Expense)
- ค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ – ได้แก่ การบันทึกค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ และการสร้างแบรนด์ที่ทำเพื่อประโยชน์ของระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด โดยเงินเหล่านี้มาจากกองทุนที่เก็บจากแฟรนไชส์ซี
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
แฟรนไชส์ซีต้องบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินงานร้าน และค่าใช้จ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์ ซึ่งสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
- ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์
- ค่าสิทธิ์ – บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเต็มจำนวนในงวดที่เกิดขึ้น (สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้)
- ค่าธรรมเนียมการตลาด – บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน หรือ ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ตามข้อกำหนดในสัญญา
- ค่าใช้จ่ายที่มาจากการดำเนินงานร้าน
- ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) – เป็นค่าใช้จ่ายหลักของวัตถุดิบหรือสินค้าที่นำมาขาย ซึ่งถือเป็นต้นทุนขายที่สำคัญที่สุด (Prime Cost)
- ต้นทุนค่าแรง – ได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
- ค่าเช่าและสาธารณูปโภค – เป็นค่าใช้จ่ายประจำสำหรับการดำเนินงานสถานที่
- ค่าใช้จ่ายที่มาจากการลงทุนเริ่มต้น (หักแบบตัดจำหน่าย/ค่าเสื่อม)
- ค่าตัดจำหน่ายสิทธิ์แฟรนไชส์ – แฟรนไชส์ซีจะทยอยบันทึกค่าธรรมเนียมแรกเข้า เป็นค่าใช้จ่ายตัดจำหน่ายตลอดอายุสัญญาแฟรนไชส์ (สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้)
- ค่าเสื่อมราคา – การทยอยบันทึกค่าใช้จ่ายของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การตกแต่งร้าน (ค่าปรับปรุงอาคาร) อุปกรณ์ และเครื่องจักร
- ค่าใช้จ่ายทางภาษีและกฎหมาย
- ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชี – ค่าใช้จ่ายในการจ้างสำนักงานบัญชีและผู้สอบบัญชี
- ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ (ถ้ามี) – ค่าปรับที่เกิดจากการทำผิดกฎระเบียบหรือสัญญา
วางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ให้สำเร็จ นรินทร์ทอง เราพร้อมให้คำปรึกษา!
การวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ไม่ใช่แค่การทำตามกฎหมาย แต่คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง นรินทร์ทอง เข้าใจดีว่าความสำเร็จของแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการตัวเลขที่แม่นยำ และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย นรินทร์ทองเราพร้อมเป็นคู่คิดที่ช่วยคุณวางระบบบัญชี สำหรับการรับรู้รายได้ค่าสิทธิ์ ไปจนถึงการจัดการภาษีซื้อ-ภาษีขาย (VAT) ของทุกสาขา
นอกจากนี้เรายังมีบริการอื่นๆ ที่พร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
- การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
- รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
- งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
- ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ
สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : narinthong.ac@gmail.com
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339